จบลงไปแล้วสำหรับ Keynote ของงาน WWDC25 หรือ World Wide Developer Conference 2025 ซึ่งมีการเน้นอย่างมากกับ Theme ใส่เหมือนกระจกที่ดูล้ำและคลีนมากขึ้นในทุกระบบปฏิบัติการ เราขอสรุปรวมทั้งหมดย่อเป็น บทความให้คุณได้เข้าใจ พร้อสมแล้วมาเริ่มกันเลย
ไฮไลท์ WWDC25 ที่คุณต้องรู้

1. Apple Intelligence ที่ย้ำจังเลย!
นี่คือสิ่งที่ถูกพูดถึงมากที่สุดและเป็นหัวใจของงานทั้งหมด Apple Intelligence ไม่ใช่แค่ฟีเจอร์ แต่เป็น “ระบบปัญญาประดิษฐ์ส่วนบุคคล” ที่ถูกฝังลึกเข้าไปในทุก OS ตั้งแต่ iOS, iPadOS, macOS ไปจนถึง watchOS และ visionOS โดยเน้นการประมวลผลบนตัวอุปกรณ์ (On-device) เพื่อความเป็นส่วนตัวสูงสุด
- ฟีเจอร์เด่นที่ขิงในรอบนี้
- เครื่องมือการเขียน (Writing Tools) ช่วยพิสูจน์อักษร, เรียบเรียงใหม่ และสรุปเนื้อหาในแอป Mail, Notes และอื่นๆ
- Siri ที่ฉลาดขึ้น เข้าใจบริบทการสนทนาต่อเนื่องและควบคุมอุปกรณ์ได้มากขึ้น
- Image Playground & Genmoji สร้างภาพและอิโมจิด้วย AI จากคำอธิบายง่ายๆ
- Workout Buddy (watchOS) AI Coach ส่วนตัวที่ให้กำลังใจและข้อมูลระหว่างออกกำลังกายแบบเรียลไทม์
- ข้อจำกัดสำคัญ: ฟีเจอร์ AI ส่วนใหญ่ต้องใช้ชิป M1/A17 Pro หรือใหม่กว่า และที่สำคัญสำหรับผู้ใช้ชาวไทยคือ ยังไม่รองรับภาษาไทยอยู่ต่อไป …

2. ยกเครื่องดีไซน์ใหม่ “Liquid Glass” ทั่วทั้งระบบ
Apple ได้เปิดตัวภาษาการออกแบบ (Design Language) ใหม่ที่เรียกว่า “Liquid Glass” ซึ่งถูกนำมาใช้พร้อมกันใน iOS 26, iPadOS 26, macOS Tahoe และ tvOS 26 ทำให้ทุกแพลตฟอร์มมีหน้าตาที่สวยงาม, ทันสมัย, โปร่งแสง และสอดคล้องกันมากขึ้น โดยเน้นให้คอนเทนต์ของผู้ใช้โดดเด่นเป็นศูนย์กลางเสมอ
3. Ecosystem ที่ไร้รอยต่อยิ่งกว่าเดิม (Continuity on Steroids)
Apple ได้โชว์จุดแข็งด้าน Ecosystem ที่ไม่มีใครเทียบได้ ด้วยการเชื่อมต่ออุปกรณ์ที่ล้ำลึกและใช้งานได้จริงมากขึ้น:
- Phone App & Live Activities บน Mac: รับสายเซลลูลาร์จาก iPhone และดูกิจกรรมสดๆ บนแถบเมนูของ Mac ได้เลย
- AirPods เป็นรีโมทกล้องและไมค์สตูดิโอ: ใช้ก้าน AirPods สั่งถ่ายรูป/วิดีโอ หรือใช้เป็นไมโครโฟนคุณภาพสูงสำหรับบันทึกเสียงได้
- iPhone เป็นไมค์คาราโอเกะสำหรับ Apple TV: ใช้ iPhone เป็นไมค์ร้องเพลงใน Apple Music Sing บนจอใหญ่
- visionOS และ iPhone: สามารถปลดล็อก iPhone ด้วย Face ID ได้แม้จะสวม Vision Pro อยู่ก็ตาม
- นอกจากนี้ถ้าใช้ระบบปฏิบัติการใหม่จะทำให้ AirPods ได้อัปเกรดในเรื่องอัดเสียงแบบ Studio และใช้เป็นรีโมตกล้องถ่ายภาพของอุปกรณ์ต่างๆ ได้ แต่ฟีเจอร์นี้จะรองรับกับ AirPods รุ่นใหม่บางรุ่น แต่ที่แน่ๆ AirPods Max อดใช้นะ

4. iPad และ Mac ก้าวสู่ความเป็น “Pro” เต็มรูปแบบ
- iPadOS 26: การเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ด้วย Window Management ใหม่ที่ให้ผู้ใช้ปรับขนาดและจัดวางหน้าต่างแอปได้อย่างอิสระเหมือนบนเดสก์ท็อป, การมาถึงของแอป Preview ฟีเจอร์อ่านเอกสาร PDF ที่ทำได้มากฟีเจอร์ใน macOS และ Background Tasks ทำให้ iPad กลายเป็นเครื่องมือทำงานที่ทรงพลังยิ่งขึ้น
- macOS Tahoe: Spotlight ถูกปฏิวัติใหม่ให้เป็น Action Launcher ที่สามารถ “สั่งการ” แทนการ “ค้นหา” ได้, พร้อมเครื่องมือสำหรับนักพัฒนามืออาชีพอย่าง Container Framework

5. รุกตลาดเกมอย่างจริงจัง
Apple ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะบุกตลาดเกมอย่างเต็มตัว ด้วยการเปิดตัวสิ่งต่างๆ ที่อำนวยความสะดวกับเกมทั้งคนเล่นและคนสร้างเช่น
- แอป Apple Games: ศูนย์รวมเกมทั้งหมดในที่เดียว
- Game Overlay: อินเทอร์เฟซใหม่ที่ช่วยให้เข้าถึงฟีเจอร์โซเชียลได้โดยไม่ต้องออกจากเกม
- Game Porting Toolkit 3 และ Metal 4: เครื่องมือใหม่ที่ช่วยให้นักพัฒนาพอร์ตเกมระดับ AAA มาลง Mac ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

6. การอัปเดตที่น่าสนใจอื่นๆ
ยังไม่หมดเพราะยังมีการขออธิบายเพิ่มเติมกับ 3 ระบบปฏิบัติการนั่นคือ
- watchOS 26: นอกเหนือจาก AI Coach แล้ว ยังเพิ่มท่าทางควบคุมใหม่ “Flick Gesture” สำหรับปิดการแจ้งเตือนด้วยมือเดียว และนำแอป Notes มาสู่ข้อมือเป็นครั้งแรก
- visionOS 26: เพิ่มความสามารถ Shared Spatial Experiences ให้ผู้ใช้หลายคนเห็นคอนเทนต์เดียวกันในห้องเดียวกันได้ และอัปเกรด Persona ให้สมจริงยิ่งขึ้น
- tvOS 26: เน้นปรับปรุง UI และยกระดับฟีเจอร์ Apple Music Sing ให้สนุกยิ่งขึ้น
7. รุ่นที่ได้ไปต่อและไม่ได้ไปต่อ
แน่นอนว่าหลายคนดีใจว่ามีมือถือที่ได้อัปเดตเยอะ แต่รุ่นที่ไม่ได้ไปต่อก็มีอันได้แก่
- iOS/iPadOS: iPhone XS/XR และ iPad รุ่นที่ 7 ไม่ได้ไปต่อ
- macOS: Mac ที่ใช้ชิป Intel ถูกตัดการสนับสนุนออกไปอีกจำนวนมาก เหลือเพียงรุ่น Pro ปลายๆ ไม่กี่รุ่นเท่านั้น
- watchOS: Apple Watch Series 4 และ 5 ไม่ได้ไปต่อ
ดังนั้นถ้าจะสรุปแบบสวยๆ ต้องบอกว่า WWDC25 คือการประกาศวิสัยทัศน์แห่งอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI และการผสานรวมของฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แม้ว่าฟีเจอร์หลายอย่างจะน่าตื่นเต้น แต่ก็มาพร้อมกับข้อกำหนดด้านฮาร์ดแวร์ที่สูงขึ้นและการรอคอยการรองรับภาษาไทย ซึ่งผู้ใช้คงต้องติดตามความคืบหน้ากันต่อไปในอนาคต ที่ไม่นานแค่ปลายปีนี้ก็ได้เจอทั้งหมด แล้ว
อ้อเวอร์ชั่นนักพัฒนาปล่อยแล้วคุณอยากลองไหมล่ะ ลองได้ฟรีแต่เครื่องกินไฟอันนี้ไม่รู้นะ (แต่เวอร์ชั่นคลิปลองให้เจอกันวันที่ 11 ไม่ก็ 12 มิถุนายน นี้)