การต่อสู้ในชั้นศาลระหว่าง Apple และ Masimo ไม่ใช่แค่เรื่องฟีเจอร์วัดออกซิเจนในเลือดบน Apple Watch อีกต่อไป แต่มันได้กลายเป็นคดีสำคัญที่อาจสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับสงครามสิทธิบัตรในวงการเทคโนโลยี ว่า “สิทธิ์ในการฟ้องร้อง” จำเป็นต้องมีผลิตภัณฑ์ที่วางขายจริงในตลาดอีกครั้งแล้วหรือไม่?
เรื่องราวเริ่มต้นจากการที่ ITC (คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ) สั่งแบนการนำเข้า Apple Watch ตามคำร้องของ Masimo ที่อ้างว่า Apple ละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีของตนเอง แต่ล่าสุด Apple ได้ยื่นอุทธรณ์ด้วยประเด็นที่น่าสนใจและอาจส่งผลกระทบในวงกว้าง
แก่นของข้อพิพาท: “ผลิตภัณฑ์” ต้องวางขายแล้วจริงหรือ?
- มุมมองของ Apple: Apple โต้แย้งว่า ในปี 2021 ที่ Masimo ยื่นฟ้องนั้น พวกเขายังไม่มีสมาร์ทวอทช์วางขายเลยแม้แต่รุ่นเดียว (Masimo W1 เปิดตัวปี 2022) Apple ชี้ว่าการฟ้องร้องโดยอ้างอิงถึง “ผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง” ไม่ควรมีน้ำหนักพอที่จะนำไปสู่คำสั่งแบนการนำเข้าสินค้าที่วางขายอยู่แล้วและมีผู้ใช้งานหลายล้านคนได้ หาก Apple ชนะในประเด็นนี้ มันอาจกลายเป็นเกราะป้องกันให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่รอดพ้นจากการฟ้องร้องของบริษัทที่ถือสิทธิบัตรไว้แต่ยังไม่มีผลิตภัณฑ์เป็นรูปธรรม
- มุมมองของ Masimo: Masimo สวนกลับว่า Apple กำลังพยายามบิดเบือนกฎหมาย สิทธิบัตรควรให้ความคุ้มครองนวัตกรรมและการลงทุนด้านการวิจัยพัฒนา ไม่ใช่รอจนกว่าจะผลิตสินค้าออกสู่ตลาดได้สำเร็จ หาก Masimo ชนะ คดีนี้จะตอกย้ำว่าบริษัทเล็กหรือบริษัทที่เน้นการวิจัยก็สามารถใช้สิทธิบัตรปกป้องตนเองจากยักษ์ใหญ่ในตลาดได้ แม้จะยังไม่มีสินค้าวางจำหน่ายก็ตาม
ผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้วและสิ่งที่ต้องจับตา
ปัจจุบัน Apple ยอมถอยด้วยการปิดฟีเจอร์วัดออกซิเจนในเลือดบน Apple Watch รุ่นใหม่ที่ขายในอเมริกา เพื่อเลี่ยงคำสั่งแบน ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
สิ่งที่วงการเทคโนโลยีกำลังจับตามองคือคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ในครั้งนี้ เพราะผลลัพธ์ของมันจะส่งผลโดยตรงต่อกลยุทธ์การฟ้องร้องด้านสิทธิบัตรในอนาคต:
- ถ้า Apple ชนะ: อาจทำให้การฟ้องร้องเพื่อสกัดคู่แข่งทำได้ยากขึ้น บริษัทที่ถือสิทธิบัตรจะต้องมีผลิตภัณฑ์จริงในตลาดเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้ข้อกล่าวหา
- ถ้า Masimo ชนะ (หรือคำตัดสินเดิมคงอยู่): บริษัทเทคโนโลยีทุกแห่งจะต้องระมัดระวังในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ มากขึ้น เพราะอาจถูกฟ้องร้องจากเจ้าของสิทธิบัตรได้ง่ายขึ้น แม้ว่าบริษัทนั้นจะยังไม่มีสินค้าเป็นคู่แข่งโดยตรงก็ตาม
คดีนี้จึงเป็นมากกว่าการต่อสู้ของสองบริษัท แต่มันคือการเดิมพันที่จะกำหนดทิศทางของ “นวัตกรรมและการแข่งขัน” ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า
ที่มา : MacRumors